
ตรวจสอบเงินประกันรายได้ข้าว เงินช่วยเหลือชาวนา
ประกาศข่าวดี คาดการณ์ว่า ครม. ไฟเขียว วันที่ 26 ต.ค. กระทรวงการคลังคอนเฟิร์ม
เข้าแน่ รับส่วนต่างชดเชยข้าวสูงสุด 1.5 หมื่นบาท ขณะที่เงินช่วยเหลือชาวนา รับสูงสุด 2 หมื่นบาท
รายงานความคืบหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกร ประกันรายได้ข้าว สำหรับชาวนา 4.6 ล้านครัวเรือน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 64 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ
ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการ
ได้มีมติดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2564/65 รอบที่ 1
โดยกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เป็นปีที่3 นั้น ล่าสุดมีความคืบหน้าแล้ว
โครงการประกันรายได้เกษตรกรในส่วนของการประกันรายได้ข้าว ไปยังกระทรวงการคลัง โดยทางกระทรวงการคลังได้รับปากแล้วจะเข้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้
สำหรับการเข้า ครม. ที่จะมีมติ ได้แก่ โครงการประกันรายได้ข้าว โครงการคู่ขนาน ยกตัวอย่างเช่น สินเชื่อชะลอข้าวเปลือก หรือจำนำยุ้งฉาง ที่จะต้องประกาศโดยเร็วที่สุด ตอนนี้ราคาข้าวหอมมะลิ
หรือ กข15 ออกมาแล้ว ราคาขายเกี่ยวสด อยู่ที่ 8,000-9,000 บาทต่อตัน จากสาเหตุที่ทุกคนทราบกันเป็นอย่างดีว่าส่งออกมีปัญหา ดังนั้นมาตรการที่มีอยู่ควรจะเร่งออกมาให้เร็วที่สุด
ล่าสุด เช็คเงินเกษตรกร เงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท
เกษตรกร หรือ ชาวนา ที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกขาวในปี 64/65 สามารถเช็คเงินเกษตรกร เงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1000 ที่ธ.ก.ส. โอนเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชัน A-Mobile ของธนาคาร ธ.ก.ส.
ส่วนเกษตรกรที่สมัครใช้บริการ BAAC Connect จะได้รับข้อความ
แจ้งเตือนผ่าน LINE Official BAAC Family เมื่อเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว หรือสามารถ เช็คเงินเกษตรกร ตรวจสอบเช็คเงินช่วยเหลือชาวนา เงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 500 ผ่านเว็บไซต์โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
-เข้าเว็ปไซด์ https://chongkho.inbaac.com
-กรอกเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ที่ใช้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกขาวในปี 2564/65





รับสิทธิ์ลดค่าใช้ไฟฟ้า 315 บาท 1 ปีเต็ม
(ตุลาคม 64 ถึง กันยายน 65)
ให้ 1 สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/1 ครอบครัว
มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามนโยบายของรัฐบาล เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากนโยบายเดิมให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเริ่มมีมาตรการตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน โดยล่าสุด ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 ได้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 1 ปี คือ ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มจำนวนเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าจากเดิมรายละ 230 บาทต่อเดือน เป็น 315 บาทต่อเดือน โดยผู้มีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือยังต้องชำระค่าไฟฟ้าปกติ
สำหรับรายละเอียดขั้นตอนการรับสิทธิ์ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงรูปแบบเดิม คือ ในกรณีที่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ยังไม่เคยลงทะเบียนรับสิทธิ์ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อน ให้ลงทะเบียนตามช่องทางของหน่วยงานการไฟฟ้าที่ดูแลในพื้นที่ของท่าน เช่น หากเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี หรือสมุทรปราการ สามารถลงทะเบียนผ่าน MEA ได้ที่ http://meagate1.mea.or.th/welfareregis แต่สำหรับผู้ที่เคยลงทะเบียนช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนใหม่ ขั้นตอนต่อมา เมื่อ MEA แจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนแล้ว ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าชำระค่าไฟฟ้าตามปกติ หลังจากนั้น MEA จะส่งข้อมูลการชำระค่าไฟฟ้าให้กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ไฟฟ้าซึ่งหากข้อมูลถูกต้องกรมบัญชีกลางจะโอนเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าคืนเข้ามาในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามจำนวนค่าไฟฟ้าที่ใช้จริง แต่ไม่เกิน 315 บาท ให้กับผู้ได้รับสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 1.1 ที่มีขนาดเครื่องวัดฯ ขนาด 5(15) แอมแปร์ เมื่อใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน จะได้รับสิทธิ์ค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการในปัจจุบันแทนสิทธิ์ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงผู้ที่แม้จะมีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 315 บาทต่อเดือน ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือในเดือนนั้น ๆ เช่นกัน
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลการใช้งานสิทธิผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร 02-109-2345 หรือสอบถามข้อมูลค่าไฟฟ้าได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ MEA ได้แก่ Facebook : การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line: @meathailand, Twitter: @mea_news, และ MEA Call Center โทร 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
#ชี้แจง
#ค่าไฟ
#มติครม
#ช่วยเหลือค่าไฟฟ้า
#บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
#COVID19
#MEASMARTSERVICE
#พลังงานเพื่อวิถีชีวิตเมืองมหานคร